PPS ปิด Q1 กวาดรายได้ 98.80 ลบ. เดินหน้าอัพเกรดธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า

   เมื่อ : 15 พ.ค. 2567

PPS ธุรกิจไตรมาส 2 แนวโน้มดี ทยอยรับรู้รายได้แบ็คล็อก 508.93 ล้านบาท พร้อมโกยงานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชน มูลค่า 358.15 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนาศักยภาพธุรกิจที่ปรึกษางานก่อสร้าง เพิ่มบริการครบวงจร และขยายฐานลูกค้าให้หลากหลาย มั่นใจรายได้โตไม่ต่ำกว่า 10% เผยผลประกอบการไตรมาส 1/67 รายได้รวม 98.80 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1.64 ล้านบาท

 

ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2/2567 จะทยอยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากการรับรู้รายได้งานในมือ (แบ็คล็อก) ที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 508.93 ล้านบาท (31 มี.ค. 2567) อีกทั้งมีงานใหม่ที่อยู่ระหว่างรอประมูล ทั้งในส่วนของโครงการก่อสร้างภาครัฐและเอกชน อาทิ โรงพยาบาลเอกชน งานห้างสรรพสินค้า และค้าปลีก ซึ่งจะเข้ามาเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

 

นอกจากนี้ PPS ยังมุ่งเน้นการควบคุมต้นทุน ดำเนินโครงการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผน ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กำหนดเป้าหมาย และตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อม และพัฒนาศักยภาพของบริษัทในด้านต่างๆ เพื่อเข้าประมูลงานให้ได้อย่างหลากหลายยิ่งขึ้น

อีกทั้งเพิ่มโอกาสสร้างรายได้ด้วยธุรกิจใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบริหารงานก่อสร้าง โดยใช้ซอฟต์แวร์ Kanna และ HoloBuilder เป็นเทคโนโลยีที่บริษัทฯ นำมาเพื่อช่วยในการบริหารงาน บริหารทรัพยากรบุคคลและเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งล่าสุดบริษัทได้จำหน่ายซอฟท์แวร์ดังกล่าวให้กับบริษัทก่อสร้างจากประเทศกัมพูชา

 

“ในช่วงเริ่มต้นของปีนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างในประเทศ ต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ เช่น เศรษฐกิจชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อ ปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ และงบประมาณที่ล่าช้า แต่มั่นใจว่าแนวโน้มของตลาดยังสามารถเติบโตได้ จากนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่หนุนให้เกิดโอกาสในการเร่งพัฒนาโครงการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องทั้งโครงการภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม และพัฒนาศักยภาพ เพื่อเข้ารับงานที่หลากหลายมากขึ้นในช่วงต่อจากนี้” ดร.พงศ์ธร กล่าว

 

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 98.80 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 102.21 ล้านบาท จำนวน 3.41 ล้านบาท หรือลดลง 3.34 % และมีขาดทุนสุทธิ 1.64 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.36 ล้านบาท จำนวน 3 ล้านบาท โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัท แบ่งเป็น งานภาคเอกชน ร้อยละ 60 และภาครัฐ ร้อยละ 40 ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯ ชะลอตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากการเบิกจ่ายของทางภาครัฐและเอกชนมีการชะลอตัวเช่นกัน