InnovestX จับกลุ่ม Ultra High Net Worth ลุยตลาด Private Fund ต่อเนื่อง

   เมื่อ : 15 ก.ค. 2567

บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ เรือธงด้านการลงทุนภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group)  เดินหน้าลุยตลาดกองทุนส่วนบุคคล  (Private Fund)  ที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง หรือ Ultra High Net Worth โดยหน่วยงาน Private Fund Management ภายใต้ชื่อ Alpha Fund ปัจจุบันมีนโยบายการลงทุน 4 นโยบาย คือ ลงทุนในประเทศไทย (TH Alpha) ลงทุนในประเทศเวียดนาม (VN Alpha) ลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย (ID Alpha) และ Global Alpha เน้นลงทุนในตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) เช่น สหรัฐอเมริกา และ ยุโรป ปัจจุบันสามารถดันฐานลูกค้าเติบโตขึ้นกว่า 900% (เทียบกับปี 2019) ปัจจุบัน เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งตลาดกองทุนส่วนบุคคลเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย (ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2566) ทั้งยังสร้างผลประกอบการเหนือตลาดที่เข้าลงทุนเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี อาทิ กองเวียดนาม (VN Alpha) ซึ่งเป็นกองเรือธง (Flagship Fund) มีขนาดทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) ขนาดใหญ่ที่สุด มีมูลค่ากว่า 7500 ลบ. คิดเป็นกว่าครึ่งนึงของ AUM ทั้งหมดที่มีมูลค่ากว่า 15000 ลบ. และให้ผลตอบแทนนักลงทุนมากกว่า 50.1% ตั้งแต่เปิดกองทุนเวียดนามเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2021) เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) ที่ปรับตัวขึ้นเพียง 0.4%

 

นายพสุวุฒิ วิไลนิรันดร์ CFA ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “เศรษฐกิจเวียดนามปัจจุบันอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยตัวเลขประมาณการ GDP ล่าสุด 1H 2024 สูงกว่าความคาดหมาย เติบโตถึง 6.4% การส่งออกเริ่มฟื้นตัวชัดเจน เติบโต 10.5% อีกทั้งยังสามารถดึงดูดเม็ดเงิน FDI (Foreign Direct Investment) ถึง 15.2 พันล้านดอลล่าสหรัฐฯ คิดเป็นการเติบโตกว่า 13.1% รวมถึงยอดค้าปลีกในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 9.1% เทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว แสดงถึงภาคการอุปโภคบริโภคภายในประเทศที่เริ่มทยอยฟื้นตัว อีกทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวในครึ่งปีแรกก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงก่อนโควิดในปี 2019 แล้ว แม้เวียดนามเป็นประเทศที่ยังมีขนาดเศรษฐกิจค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่สูง จากการบริหารงานของรัฐบาลที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

รัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การพัฒนาศักยภาพการแข่งขันในระยะยาวของประเทศ เห็นได้จากการมี FTA (Free Trade Agreement) กับกว่า 80 ประเทศทั่วโลก (คิดเป็น 90% ของ GDP โลก) รวมถึงการเป็นพันธมิตรที่สําคัญเชิงกลยุทธ์ (Strategic partnership) กับสหรัฐฯ และสร้างพันธมิตรที่ดีกับเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  เครื่องใช้ไฟฟ้า Semiconductor อุปกรณ์ทางการแพทย์และยา รวมถึงประเทศจีน ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ เช่น รถไฟรางคู่ และท่าเรือน้ำลึก เพื่อเป็นการสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศที่มีพรมแดนเชื่อมติดกัน ด้วยเหตุนี้ หน่วยงาน Private Fund Management จึงเล็งเห็นศักยภาพของประเทศเวียดนามมีโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก และมีแนวโน้มที่จะแซงขนาดเศรษฐกิจของไทยได้ภายใน 4-5 ปี และมีโอกาสที่รายได้ต่อหัวจะแซงประเทศไทยในอีก 10-15 ปีข้างหน้า”
 

“ด้านธุรกิจในเวียดนาม มีหุ้นจำนวนหลายตัวที่น่าสนใจ โดยกองทุน Alpha Fund VN ได้เลือกเข้าลงทุนประมาณ 7-12 ตัว ที่มองว่าเป็นหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นไทยในระยะยาว เรามองว่าเวียดนามอาจจะเป็น 1 ในไม่กี่ประเทศใน ASEAN ที่มีโอกาสก้าวข้าม Middle-income trap และเติบโตเป็นประเทศที่พัฒนาสูงอย่างเกาหลีใต้ได้ในอนาคต และ เมื่อเร็วๆ นี้ หน่วยงาน Private Fund Management ได้จัดทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พานักลงทุนเข้าเยี่ยมชมกิจการ (Company Visit) บริษัทอันดับ 1 ของแต่ละอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม อาทิ Mobile World Investment Corp (MWG) บริษัทค้าปลีกสมัยใหม่ด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และ Grocery Stores Phu Nhuan Jewelry (PNJ) บริษัทค้าปลีกเครื่องประดับเพชรและทองคำ Sabeco Brewery (SAB) บริษัทผู้ผลิต Saigon Beer Gemadept (GMD) บริษัทโลจิสติกส์ ซึ่งมีกิจการครอบคลุมทั้งทางบก อากาศ และน้ำ ทั้งยังเปิดโอกาสให้นักลงทุน ร่วมฟังวิสัยทัศน์ และพูดคุยกับผู้บริหาร FPT Corporation บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน อีกด้วย นอกจากนี้นักลงทุนยังได้พบปะผู้บริหารบริษัทชั้นนำของไทย ซึ่งมีประสบการณ์ดำเนินกิจการในประเทศเวียดนามมากว่า 10 ปี อาทิ AMATA Central Retail และ SCB Vietnam เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก เพื่อสร้างความได้เปรียบการลงทุน” นายพสุวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย


โดย Alpha Fund by InnovestX มี 3 ข้อลักษณะเด่นที่แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไปดังนี้

 

1. Alpha Fund มีทีมนักวิเคราะห์ In-house ในแต่ละประเทศที่ไปลงทุนโดยเฉพาะ โดยมีการศึกษา พื้นฐานธุรกิจ วิเคราะห์อุตสาหกรรมและปัจจัยภายนอกและผู้บริหารอย่างละเอียด เพื่อประเมินมูลค่า ของกิจการเป้าหมายอย่างเป็นระบบ และลงทุนในกิจการตรงด้วยตัวเอง ไม่ใช่เป็นการลงทุนผ่านกองทุน (Feeder Fund) ที่คิดค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนและพึ่งพาการตัดสินใจจากบุคคลอื่น

 

2. Alpha Fund ไม่ได้ลงทุนอิงสัดส่วนการถือหุ้นกับดัชนี (No Index Benchmarking) กองทุนจะลงทุนแบบ Bottom-up โดยเลือกถือหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีทีสุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยงเพียง 7-15 ตัวเท่านั้นในแต่ละช่วงเวลา (High Conviction)

 

3. Alpha Fund ดำเนินงานให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของลูกค้า (Alignment of Interest) เนื่องจาก รูปแบบการจัดการเป็นในลักษณะของส่วนแบ่งกำไร (Profit Sharing) ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ Hedge Fund ต่างประเทศ กล่าวคือ จะมีค่าธรรมเนียมส่วนแบ่งจากผลกำไร (Performance Fee) และหากปี ใดมีผลขาดทุน ทางกองทุนจะต้องบริหารกองทุนให้กลับมามีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่สูงที่สุดที่ผ่านมา (High Water Mark) ก่อน จึงจะเรียกเก็บ Performance Fee ได้