ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 2 โครงการ JA SparktheDream โดย FWD ประกันชีวิต ร่วมกับมูลนิธิ JA Thailand
FWD ประกันชีวิต จับมือมูลนิธิจูเนียร์อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย เดินหน้าสานต่อโครงการ JA SparktheDream ต่อเนื่องสู่ปีที่ 2 มุ่งปลูกฝังความรู้ เสริมสร้างความเข้าใจทางการเงินขั้นพื้นฐาน พร้อมสอดแทรกทักษะสังคมและทักษะชีวิตที่จำเป็นแก่เยาวชนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 5 และ 6 ในเขตกรุงเทพฯ ตั้งเป้าปีนี้ส่งต่อความรู้ให้ได้ 2000 คน หวังช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม และร่วมส่งเสริมให้เยาวชนไทยได้ตั้งเป้าหมาย สานฝันอนาคตของตนให้สำเร็จ พร้อมผลักดันกิจกรรม Train the Trainers แนะวิธีการสอนในหลักสูตรแก่อาสาสมัคร ผ่านคลิปวิดีโอ เตรียมความพร้อมก่อนลงพื้นที่ และยังใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ให้นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯได้ทบทวนบทเรียนอีกด้วย
โครงการ JA SparktheDream เป็นความร่วมมือระหว่าง FWD ประกันชีวิต และมูลนิธิจูเนียร์อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย หรือ JA Thailand ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งต่อความรู้ทางการเงิน ในระดับพื้นฐานให้แก่เยาวชน พร้อมสอดแทรกทักษะทางสังคมและทักษะชีวิตที่จำเป็นให้กับเยาวชน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจทางการเงินอย่างรอบคอบ สร้างรากฐานความมั่นคงทางการเงิน ช่วยเป็นส่วนลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยในปีนี้ ตั้งเป้าหมายส่งต่อความรู้ทางการเงินให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายในกรุงเทพมหานคร จำนวน 2000 คน
นายเดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประจำประเทศไทยและกัมพูชา บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ “FWD ประกันชีวิต กล่าวว่า “ในปี 2566 ที่ผ่านมาถือว่าโครงการ JA SparktheDream ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เราสามารถส่งต่อความรู้ให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ มากกว่า 1100 คน นอกจากนั้น เรายังมีความภาคภูมิใจที่เยาวชนไทยในโครงการฯ จากโรงเรียนวัดอุทัยธาราม สามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากการแข่งขัน JA SparktheDream Social Challenge 2023 ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำหรับปี 2567 เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสานต่อโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมกันให้กับทุกคนในสังคม ด้วยการสนับสนุนเยาวชนให้มีความรู้ทางการเงิน และทักษะการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานผ่านการดำเนินโครงการ JA SparktheDream ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้สร้างความเข้าใจทางการเงิน ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ผ่านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ”
ผนึกกำลังสร้างความแข็งแกร่ง ติดอาวุธเตรียมความพร้อมให้ทีมอาสาสมัคร
นอกจากจะเตรียมความพร้อมและส่งเสริมเยาวชนมีชุดทักษะความรู้ทางการเงินในระดับพื้นฐานแล้ว ในปีนี้ความพิเศษของการจับมือร่วมกับ JA Thailand เดินหน้าโครงการ JA SparktheDream ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 คือการจัดกิจกรรม Train the Trainers ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนลงพื้นที่ให้เหล่าอาสาสมัคร FWD ประกันชีวิต และบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร เพื่อฝึกอบรมแนวทางการสอนและพัฒนาทักษะการถ่ายทอดความรู้ในหลักสูตร โดยจัดทำเป็นชุดวิดีโอ ให้อาสาสมัครสามารถรับชมได้ผ่านช่องทางออนไลน์ในวันและเวลาที่สะดวก อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ ช่วยทบทวนบทเรียนความรู้ทางการเงินให้แก่นักเรียนที่ได้เข้าร่วมโครงการฯ ไปแล้วด้วยเช่นกัน
นายธาดา เศวตศิลา ประธานมูลนิธิจูเนียร์อะชีฟเม้นท์ ประเทศไทย หรือ JA Thailand กล่าวว่า “จากความสำเร็จในปีแรกของการร่วมมือกับ FWD ประกันชีวิต จัดทำโครงการ JA SparktheDream ทำให้เราไม่หยุดนิ่งที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยให้เติบโตมีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะความรู้ทางการเงินที่ดี ซึ่งเด็กๆ เหล่านี้ถือเป็นกำลังสำคัญของชาติที่จะนำการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมในหลากหลายมิติ นอกจากนั้น ที่สำคัญเราจะต้องมีวิทยากรที่มีความพร้อม ความเข้าใจ มีทักษะความรู้ รวมถึงสื่อที่ใช้ในการสอน ที่พร้อมจะถ่ายทอดและส่งต่อด้วยวิธีการสื่อสารที่น่าสนใจและเหมาะสม เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ เข้าใจ และสามารถนำไปปรับใช้จริงในชีวิตประจำวัน เราขอขอบคุณ FWD ประกันชีวิต ที่เห็นความสำคัญ และเคียงข้างให้การสนับสนุนโครงการฯ อย่างต่อเนื่องเสมอมา”
ออมเป็น หารายได้ รู้ใช้จ่าย และมีแบ่งปัน หัวใจหลักของบทเรียนความรู้ทางการเงิน JA SparktheDream
โปรแกรมการเรียนการสอนในโครงการ JA SparktheDream ประเทศไทย เป็นการเรียนรู้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางการเงิน ซึ่งประกอบด้วย 4 บทเรียนหลัก ได้แก่ การออมเงิน การหารายได้ การใช้จ่าย และการแบ่งปัน (Save Earn Spend Share) ครอบคลุมความรู้ทางการเงิน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ความตระหนักทางการเงิน 2) สมรรถนะทางการเงิน และ 3) ความรู้ด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเนื้อหาที่เข้าใจง่าย สามารถนำมาปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ผ่านการเรียนรู้ ประกอบด้วย เกมจำลองสถานการณ์ แบบทดสอบ และกิจกรรม ซึ่งสอดแทรกไปในกับบทการเรียน โดยหลักสูตรการเรียนรู้นี้นักเรียนจะได้เรียนรู้และเข้าใจบทบาทของเงินในชีวิตประจำวัน เข้าใจความแตกต่างระหว่างความจำเป็นกับความต้องการ สามารถอธิบายประโยชน์ของการมีบัญชีออมทรัพย์ รวมถึงพื้นฐานการจัดการเงินส่วนบุคคล และการตัดสินใจเลือกทางการเงินที่ดี ที่สำคัญยังสามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีทางมูลนิธิฯ เป็นผู้ทำแผนการสอนและประสานงานกับทางโรงเรียนและผู้สอน ซึ่งในปีนี้มีโรงเรียนเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่ โรงเรียนวัดราชสิงขร โรงเรียนรุ่งเรืองอุปถัมภ์ โรงเรียนวัดเทพลีลา (สิงประสิทธิวิทยา) โรงเรียนวัดดิสหงสาราม โรงเรียนวัดทรงธรรม และโรงเรียนวัดไผ่เงินโชตนาราม