Krungthai COMPASS ชี้แผนพีดีพีฉบับใหม่ หนุนรายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเติบโตไม่ต่ำกว่า 1.9 แสนล้านบาท ภายในปี 2580

   เมื่อ : 30 ส.ค. 2567

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ชี้แผนพีดีพีฉบับใหม่ สนับสนุนให้เกิดการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวล คาดเอกชนมีการลงทุนกว่า 1.7 ล้านล้านบาท  ในปี 2567-2580 หนุนรายได้แตะ 2.9 แสนล้านบาทในอีก 13 ปีข้างหน้า 

 

ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ ผู้อำนวยการฝ่าย ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เปิดเผยว่า แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ พีดีพี (PDP) ฉบับใหม่  ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากกระบวนการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 ทำให้ภาครัฐสนับสนุนการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและระบบบริหารจัดการไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่ภาครัฐมีแนวโน้มเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนมากขึ้น  โดยคาดว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภท จะขยายตัว 14.5% ต่อปี มาอยู่ที่ 48666 เมกะวัตต์ในปี 2580 ซึ่งคิดเป็น 43% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด  ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน จากกระบวนการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 27.5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e)  คิดเป็น 57% ของเป้าหมาย Carbon Neutrality ซึ่งยังอยู่ในระดับที่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2593  

 

นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า รายได้รวมของธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 1 แสนล้านบาทในปี 2566 เป็น 2.9 แสนล้านบาทในปี 2580 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.9% ตามกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าดังกล่าว ซึ่งมาจากการรับซื้อไฟฟ้าจากกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ของภาครัฐทั้งหมด 39693 เมกะวัตต์ในช่วงปี 2567-2580 โดยแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 30412 เมกะวัตต์   โรงไฟฟ้าพลังงานลม 7845 เมกะวัตต์ และ โรงไฟฟ้าชีวมวล 1436 เมกะวัตต์ 

 

นอกจากนี้  การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าชีวมวล ของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในช่วงปี 2567-2580  คาดว่า จะก่อให้เกิดเงินเม็ดลงทุนในการก่อสร้างทั่วประเทศกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็น โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ราว 1.1 ล้านล้านบาท  โรงไฟฟ้าพลังงานลม 4.6 แสนล้านบาท  และโรงไฟฟ้าชีวมวล 1.3 แสนล้านบาท โดยแต่ละพื้นที่ของประเทศจะมีการดึงดูดการลงทุนโรงไฟฟ้าที่แตกต่างกันไป  โดยภาคเหนือจะมีศักยภาพในการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์มากที่สุด เนื่องจากภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าแสงอาทิตย์จากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในภาคเหนือมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วน 30.5% ของการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งประเทศ  ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมมากที่สุด โดยภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมจากภาคตะวันออกเหนือเกือบทั้งหมด หรือ 92% ของการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมทั้งหมด

 

สำหรับการลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลนั้น ทุกพื้นที่มีศักยภาพในการผลิต ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อเพลิงที่นำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยควรเลือกใช้วัสดุเหลือใช้ในการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ควรเลือกใช้ใบและยอดอ้อย และฟางข้าวเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ขณะที่โรงไฟฟ้าชีวมวลที่ตั้งในภาคใต้ควรเลือกใช้ผลพลอยจากปาล์มเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า  เพราะเป็นวัสดุที่เหลือใช้ในภาคดังกล่าวจำนวนมาก