ภาคีชาวไร่ยาสูบแสดงความยินดีนายก “แพทองธาร” พร้อมเสนอเร่งแก้ 3 ปัญหา เชื่อเดินหน้าสร้างโอกาส แก้ปัญหาปากท้องชาวไร่ยาสูบ

   เมื่อ : 03 ก.ย. 2567

ภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบยินดี น.ส. แพรทองธาร รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย ให้กำลังใจสู้น้ำท่วม พร้อมเสนอนายกใหม่เร่งแก้ปัญหาต้นทุนปัจจัยการผลิต บุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนตีตลาดยาสูบไทย ทำอุตสาหกรรมเสียหายทั้งระบบ เสนอ 3 ทางออก “สนับสนุนปัจจัยการผลิต-เร่งปราบบุหรี่เถื่อน-ตั้งกองทุนบุหรี่ไฟฟ้า” เพื่อแก้ปัญหาชาวไร่ยาสูบ

 

นายปรัชญา กันทาธรรม นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบแพร่ และตัวแทนภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ เผยว่า “ในฐานะตัวแทนภาคีเครือข่ายชาวไร่ยาสูบ ซึ่งเป็นการรวมตัวของ 8 สมาคม และ 2 เครือข่ายชาวไร่ยาสูบ เป็นตัวแทนชาวไร่ยาสูบเวอร์ยิเนียร์ เบอร์เลย์ และเตอร์กิซ กว่า 2.2 หมื่นครอบครัวทั่วประเทศที่มีการปลูกยาสูบจำนวน 21.7 ล้านกิโลกรัม ในพื้นที่ 13 จังหวัด คิดเป็นพื้นที่ 75000 ไร่ ทั่วประเทศ ขอแสดงความยินดีกับ น.ส. แพรทองธาร ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชนจำนวนมากที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาปากท้องและสร้างโอกาสทางอาชีพให้กับประชาชน และขอส่งกำลังใจให้กับรัฐบาลที่กำลังลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม จังหวัดที่มีการปลูกยาสูบ เช่น แพร่ น่าน เชียงราย สุโขทัย ก็โดนน้ำท่วมหลายพื้นที่เช่นกัน”

 

“อาชีพเกษตรกรต้องเสี่ยงกับสภาพภูมิอากาศอยู่เป็นประจำ แต่พืชยาสูบมีความท้าทายที่พิเศษมากขึ้นเพราะตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยาสูบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีที่สูงเกินไป จนทำให้บุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าเติบโตขึ้นมาก บุหรี่ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) มียอดขายลดลงอย่างมาก ส่วนรัฐบาลก็เก็บรายได้ภาษีบุหรี่ได้ลดลง รวมทั้งถูกบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่มีการเก็บภาษีเข้ามาตีตลาด ทำให้ชาวไร่ยาสูบได้รับผลกระทบในอาชีพ”

นายปรัชญากล่าวว่า “ชาวไร่ยาสูบซึ่งเป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมโดนตัดโควต้ารับซื้อใบยาลงไปมาก ทำให้มีรายได้ลดลง สวนทางกับต้นทุนการปลูกและบ่มยาสูบที่เพิ่มขึ้นประมาณ 60% เพราะค่าน้ำมัน ค่าแรง และค่าไฟเพิ่มสูงขึ้นมาก ความช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐก็ไม่เคยได้รับอย่างเท่าเทียมและยั่งยืนเมื่อเทียบกับเกษตรกรอื่นๆ ทั้งๆ ที่ยาสูบเป็นพืชที่ช่วยสร้างรายได้ภาษีให้กับประเทศ”

 

จากการรายงานข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า  บุหรี่เถื่อนเติบโตขึ้นจากจาก 2.9% ในปี 2560  เป็น 25.5% ในปี 2566 ส่งผลให้รัฐบาล กระทรวงการคลัง สูญเสียภาษีสรรพสามิตและภาษีท้องถิ่นรวมกว่า 30000 ล้านบาท ถือเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ต้องให้ความสำคัญเร่งด่วน

 

“น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนใหม่และหัวหน้าพรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับคนในประเทศ อีกทั้งพรรคเพื่อไทยเองก็มีฐานเสียงมาจากจังหวัดในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นภาคที่มีการปลูกยาสูบถึง 20 จังหวัด พวกเราจึงอยากฝากไปยังนายกฯ และพรรคเพื่อไทยให้ช่วยเหลือดูแลชาวไร่ยาสูบอย่างเร่งด่วน ด้วยการ 1) สนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับชาวไร่ยาสูบอย่างต่อเนื่อง 2) ยกระดับการแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อนเป็นวาระแห่งชาติและนโยบายเร่งด่วน และ 3) จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือชาวไร่ยาสูบ ซึ่ง ยสท. หรือกรมสรรพสามิต อาจเก็บภาษีจากบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งกำลังตีตลาดบุหรี่ถูกกฎหมายอย่างรุนแรงเพื่อนำมาช่วยเหลือเยียวยาชาวไร่ยาสูบ พร้อมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับชาวไร่ยาสูบได้”