“KUN” ย้ายกระดานเทรด เข้า SET 11 ก.ย. 67
บมจ. วิลล่า คุณาลัย หรือ KUN ยกระดับการลงทุน ย้ายเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 11 ก.ย.67 เป็นวันแรก !! ทะยานสู่การเติบโตแบบยั่งยืน เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน กางแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง จ่อรับรู้รายได้แบรนด์นาวาร่า ตุน Backlog ในมือแน่น พร้อมเล็งเป้ารายได้ปี 67 ทะลุ 800 ลบ. ด้าน CEO ระบุ เดินเกมรุกวาง Road Map 5 ปี ตั้งเป้ารายได้แตะ 1000ลบ. พร้อมปักธง “นาวาร่า” โซนพระราม 2 และรังสิตจัดเป็น Flagship ใหม่บนทำเลทอง สร้างมูลค่าเพิ่ม
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบในเขตพื้นที่ชานเมือง เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้อนุมัติการย้ายหลักทรัพย์ KUN เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นวันแรก ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2567 ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
ทั้งนี้ ด้วยคุณสมบัติที่ผ่านเกณฑ์ ทำให้ KUN ได้ย้ายเข้า SET สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการย้ายกระดานเทรดในครั้งนี้เป็นการเพิ่มสภาพคล่อง และเพิ่มเสถียรภาพของบริษัทฯ รวมถึงยังช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าลงทุน และยังสามารถดึงดูดให้กลุ่มกองทุน นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ หันมาลงทุนในหุ้น KUN ได้มากยิ่งขึ้น
“KUN มีความยินดีที่ได้ย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 11 กันยายน 2567 จากเดิมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค 2562 ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยเชื่อว่าการย้ายกระดานซื้อขายเข้า SET ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น ราคาของหุ้น เครดิตต่อสถาบันการเงินต่าง ๆ ความน่าเชื่อถือในการใช้เครื่องมือทางการเงิน และเพิ่ม ความน่าเชื่อถือต่อการลงทุนในอนาคต เช่น การควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) ประกอบกับยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุนทั่วไป นักลงทุนสถาบัน รวมถึงกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ”
สำหรับการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ KUN ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบตามแผนยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมือง ให้ครบ 4 ทิศ รอบกรุงเทพมหานคร (เหนือใต้ ตะวันออก ตะวันตก) ภายในกรอบระยะเวลา 5 ปี เพื่อมุ่งสู่อาณาจักรการสร้างเมืองที่อยู่อาศัยแห่งใหม่รอบเขตกรุงเทพฯ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ที่บริษัทฯ วางไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ สู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบในเขตกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล
หลังจาก KUN ประสบความสำเร็จก้าวแรกในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai บริษัทฯ ได้นำเงินจากการระดมทุนไปต่อยอดการพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพิ่มเติม แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาด Covids 19 ในช่วงนั้น แต่ผลประกอบการทั้งรายรับและกำไรที่เติบโตอย่างดีมาโดยตลอด แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาด Covids 19 ในช่วงนั้น แต่บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์นำไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแบบ ‘สุขใจอยู่บ้านชานเมือง’ เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก segment สินค้าเพิ่มเติมให้ครบ โดยใช้ทั้งกลยุทธ์ทั้งการเจาะตลาดด้วยผลิตภัณฑ์เดิม (Market Penetration) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดเดิม (Product Development) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดใหม่ (Diversification) และองค์กรก็ได้ผ่านการปรับตัวในหลายมิติ เพื่อเดินต่อด้วย Efficiency ที่ยึดมั่นมาโดยตลอด จนปัจจุบันจากการที่มีเพียง 4 โครงการ สู่การเติบโตถึง 9 โครงการ และได้เปิดโครงการครบ 4 ทิศในเขตปริมณฑลรอบกรุงเทพมหานครฯ ตามที่ได้ตั้งภารกิจไว้ และเพิ่มสินค้าจากระดับราคา 2-5 ล้านบาท ไปสู่ 2-15 ล้านบาทในปัจจุบัน รวมถึงการสร้างแบรนด์ใหม่ ภายใต้ “นาวาร่า (Navara)” ในการขยายตลาดที่อยู่อาศัยสู่ระดับ High-End ให้สอดคล้องกับแผนขับเคลื่อนการสร้าง การเติบโตขององค์กรให้ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยสะท้อนผ่านยอดขายตั้งแต่ปี 2010 ที่ระดับ 767 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2800 ล้านบาท ในปี 2019 จนถึงในไตรมาส2/2567 ที่มียอดขาย 541 ล้านบาท และมีนโนบายการจ่ายปันผลต่อเนื่องทุกปี ทั้งในรูปแบบเงินสดและหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวม 576 ล้านบาท
นางประวีรัตน์ CEO “KUN” ยังได้กล่าวถึงแผน Road Map ของบริษัทฯ ว่า ภายหลังจากปี 2556 เป็นต้นมา บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตเป็นช่วงในระยะยาวไว้เป็นแผน 5 ปี โดยตั้งแต่ปี 2561-2565 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าภารกิจที่สำคัญคือ “การได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai และตั้งเป้ารายได้แตะระดับ 1000 ล้านบาท และมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งปักหมุดพัฒนาโครงการให้ครบ 4 ทิศ รอบเขตกรุงเทพฯ ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งประสบความสำเร็จตามแผน ดังนั้นภารกิจต่อจากนี้ ตั้งปี 2566-2570 บริษัทฯ ตั้งเป้าย้ายกระดานเทรดจากตลาดหลักทรัพย์ mai สู่การเทรดในกระดาน SET พร้อมทั้งจะสร้างอัตราการเติบโตของรายได้ 5 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย 1000 ล้านต่อปี
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมธุรกิจภายในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะมากกว่า 800 ล้านบาท หรือเติบโต 10-15% จากปีก่อน เนื่องจาก ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 จะมีการทยอยรับรู้รายได้ของบ้านกลุ่ม นาวาร่า ประกอบกับในช่วงครึ่งปีแรก ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2567 บริษัทฯ รายได้ไปแล้วประมาณ 300 ล้านบาท และมียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ประมาณ 240 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังทั้งหมดทำให้มั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้
โครงการของ KUN ในปัจจุบัน ที่อยู่ในระหว่างการขาย 7 โครงการ แบ่งเป็น ทำเลบางบัวทอง 5 โครงการ ทำเลพระราม 2 จำนวน 1 โครงการ และทำเลรังสิต 1 โครงการ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีที่ดินรอพัฒนาโครงการใหม่อีก 2 แปลง พื้นที่รวมประมาณ 65 ไร่ ที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี โดยแบ่งเป็นที่ดินที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา 1 แปลง และเป็นที่ดินเปล่าอีก 1 แปลง และเนื่องจากบริษัทฯยึดรูปแบบธุรกิจการซื้อที่ดินขนาดใหญ่ (business model) ทำให้การเปิดโครงการใหม่ไม่เพิ่มขึ้นมาก แต่บริษัทฯ จะเน้นเปิดโครงการเดิมตามแผนที่วางไว้มูลค่า 14000 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ภายใต้ “นาวาร่า” ทั้ง 2 ทำเล (พระราม 2 และ รังสิต) ซึ่งเป็น แฟลกชิป (Flagship) ใหม่บนทำเลทอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเรือธงในการสร้างรายได้ให้กับ KUN ในอนาคต เนื่องจากบ้านในกลุ่มดังกล่าว ในรูปแบบบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-14 ล้านบาท เน้นให้เนื้อที่มาก (62 ตารางวาขึ้นไป) โดดเด่นที่สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และมีงานโอนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะเห็นได้จาก โครงการนาวาร่า พระราม 2 บ้านเดี่ยว จำนวน 469 แปลง มูลค่า 3700 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ปัจจุบันโอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่า 44 แปลง คิดเป็นยอดขาย 306 ล้านบาท ขณะที่ โครงการนาวาร่า รังสิตคลอง 2 บ้านเดี่ยว จำนวน 866 แปลง มูลค่า 7000 ล้านบาท เริ่มเปิดขายเมื่อต้นปี 2567 เป็นต้นมา ปัจจุบันโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 12 แปลง คิดเป็นยอดขาย 83 ล้านบาท