พลิกโฉมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย ก้าวต่ออย่างไร? ในวันที่ลมเปลี่ยนทิศ

   เมื่อ : 11 ก.ย. 2567

ห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มพึ่งพาสินค้าไฮเทคมากขึ้น  

 

ในวันที่โลกมีการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานการผลิตใหม่ภายใต้แรงกดดันที่รุมเร้าจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์รักษ์โลก การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกลุ่ม Data center แนวโน้มความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลให้เกิดการแบ่งขั้วทางการค้าและนำมาสู่การย้ายฐานการผลิต ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ Global value chain ครั้งใหม่ โดยจากข้อมูลของ Trade map พบว่า ในปี 2022 เซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรรวมและเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาดโลกต้องการมากที่สุด โดยมีมูลค่าการส่งออกมากถึง 1.194 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2012 ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มความต้องการสินค้าหรืออุปกรณ์ไฮเทคในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

 

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยบางส่วนสามารถเติบโตเกาะกระแสไปกับอุปสงค์โลก แต่ยังคงมีสินค้าบางหมวดที่ความต้องการในตลาดโลกเริ่มมีแนวโน้มชะลอลง  

 

จากข้อมูลของ Trade map ระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2012-2022) ไทยมีสัดส่วนการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่ม Power electronics ซึ่งเป็นสินค้าที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากขึ้น สะท้อนได้จากการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และแผง/ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าของไทยไปตลาดโลกมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 0.6% และ 1.5% ในปี 2012 มาอยู่ที่ 1.7% และ 3.1% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ในปี 2022 ตามลำดับ สวนทางกลับสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ที่มีสัดส่วนการส่งออกในตลาดโลกลดลงมาอยู่ที่ 0.6% ในปี 2022 จาก 1% ในปี 2012 สะท้อนว่าการส่งออกกลุ่มสินค้าคอมพิวเตอร์ของไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

 

ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยยังคงขยายตัวได้ค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง

 

SCB EIC มองว่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทยยังคงเติบโตน้อยกว่าคู่แข่ง โดยหากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยจะพบว่าสินค้าที่ไทยมีมูลค่าการส่งออกเป็นมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ HDD เครื่องใช้ไฟฟ้า และแผงวงจรรวม ซึ่งสินค้า 2 ลำดับแรกอย่าง HDD และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่โลกมีความต้องการลดลงต่อเนื่อง โดยหากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและมาเลเซีย จะพบว่าประเทศเหล่านั้นหันมามุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้น เช่น ชิป สมาร์ตโฟน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยขยายตัวได้จำกัดเนื่องมาจาก 

 

1) การลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์หรือสินค้าไฮเทคของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าคู่แข่ง โดยพบว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีของประเทศในอาเซียนและไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ราว 24% และ 19% ต่อปี ตามลำดับ ในช่วงปี 2015-2023 โดยในปี 2023 มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 32416 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมาเลเซียครองสัดส่วนการลงทุนสูงสุดที่ 53% รองลงมา ได้แก่ เวียดนาม 15% สิงคโปร์ 14% และไทย 13% ของสัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั้งหมด 

 

2) การขาดการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ระดับต้นน้ำ โดยสินค้าส่งออกของไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นกลางและขั้นปลาย โดยในปี 2022 พบว่าไทยมีสัดส่วนการส่งออกอุปกรณ์ชิประดับต้นน้ำและกลางน้ำเพียง 1.7% ของสัดส่วนการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยอย่างมาเลเซียและเวียดนามที่มีสัดส่วนการส่งออกชิปอยู่ที่ราว 5% และ 4% ตามลำดับ 

 

3) การขาดแคลนแรงงานทักษะสูง เช่น วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ โดยจากผลสำรวจความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ IMD พบว่า ปี 2023 ไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านองค์ความรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยีอยู่ในลำดับที่ 41 จากประเทศสมาชิกทั้งหมดที่เข้าร่วมทั้งสิ้น 63 ประเทศ และจัดอยู่ในอันดับ 3 เมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมทั้งหมด 5 ประเทศ

 

ภายใต้ห่วงโซ่อุปทานการผลิตใหม่มี 3 กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำคัญที่น่าจับตา

 

จากแนวโน้มความต้องการและเทรนด์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป SCB EIC ได้มีการจำแนกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำคัญออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้ 

 

1) กลุ่มสินค้าที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องและไทยยังรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ที่เรามองว่าไทยมีแนวโน้มจะมีส่วนแบ่งในตลาดเครื่องปรับอากาศมากขึ้นจากฐานการผลิตเดิมของผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ขยายการลงทุนในไทย รวมถึงผู้เล่นสัญชาติจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น 

 

2) กลุ่มสินค้าที่ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาและมีโอกาสปรับไปสู่การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มแผงวงจรรวม เซมิคอนดักเตอร์ และแผงวงจรพิมพ์ ที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดโลกมากขึ้นจากความต้องการในกลุ่ม EVs และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมชิป เช่น เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย กลุ่มคอมพิวเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลที่นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการประมวลผลข้อมูลเชิงลึก นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มไฟฟ้ากำลังอย่างหม้อแปลงไฟฟ้า สายไฟ/สายเคเบิล ที่มีความต้องสูงขึ้นต่อเนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยจากข้อมูลของ Bloomberg ระบุว่า ในปี 2023 การผลิตพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก 30% หรือราว 1 ใน 3 ของการผลิตพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดมาจากแหล่งการผลิตพลังงานหมุนเวียน 

 

3) กลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงและ/หรือเป็นสินค้าที่ไม่ตอบโจทย์เทรนด์โลก โดยเป็นกลุ่มสินค้าที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวลดลงหรือขยายตัวอยู่ในระดับต่ำในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้ง การผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ได้แก่ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบที่ขยายตัวต่ำจากแนวโน้มการลงทุนในกลุ่มสินค้าไฮเทคอย่างซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่น้อยกว่าประเทศคู่แข่งในอาเซียนเนื่องจากไทยยังคงขาดความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานการผลิตที่มีความซับซ้อนและแรงงานที่มีทักษะสูง ขณะเดียวกัน ยอดขาย HDD ในตลาดโลกยังคงชะลอลงจากความต้องการ HDD รุ่นเก่าที่ลดลงต่อเนื่อง  

 

ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัว เพื่อรักษาโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก

 

SCB EIC มองว่าการที่ไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นเบอร์ต้นของอาเซียนได้นั้น ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาในสิ่งที่ขาดโดยจะต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ ดังนี้ 1) การพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวมากขึ้น ตั้งแต่การจัดหาวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีอันตราย เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ 2) การส่งเสริมการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะสูง จะต้องมีการส่งเสริมการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรในสถาบันการศึกษาที่สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น เช่น วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ 

 

นอกจากนี้ จะต้องมีการส่งเสริมในเรื่องการ Upskill และ Reskill ให้กับกลุ่มแรงงานเดิมเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่จะสามารถนำไปพัฒนาการทำงานในกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น 3) การส่งเสริมการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการผลิตสินค้าต้นน้ำที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ขยายการลงทุนด้านการวิจัยและการพัฒนาที่มุ่งเน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานการผลิตระดับต้นน้ำมากขึ้น พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์วิจัยเซมิคอนดักเตอร์ รวมไปถึงการปรับปรุงเงื่อนไขการทํางานสำหรับแรงงานต่างชาติที่มีทักษะสูง และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกลุ่มบริษัทที่มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง 4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพลังงานไม่ว่าจะเป็นระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G เพื่อรองรับเทคโนโลยี AI และการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ รัฐบาลควรเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ครอบคลุมถึงกิจการอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นในอนาคต

 

ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง SCB EIC มองว่าไทยยังมีความหวังในการยกระดับศักยภาพการแข่งขันเพื่อพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่งได้ ด้วยการรักษาฐานการผลิตสินค้าเดิมที่ยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่ ลดการลงทุนในสินค้าโลกเก่า เน้นขยายการลงทุนในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สีเขียวและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการส่งเสริมการวิจัยเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นภาครัฐควรส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ครอบคลุมกิจการอิเล็กทรอนิกส์สีเขียวเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนที่จะช่วยกันขับเคลื่อนอย่างจริงจังเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ยั่งยืนต่อไป