PRM เล็งปิดดีลซื้อกิจการเพิ่ม หนุนกลยุทธ์ขยายธุรกิจระยะยาว
PRM ฉายภาพครึ่งหลังปี 67 เติบโตมั่นคง คาดดีมานด์สิ้นปีหนุน อัตราการใช้เรือพุ่ง พร้อมรับผลบวกต้นทุนเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง พร้อมเตรียมปิดดีลซื้อกิจการ “ตัวแทนออกของ” คาดชัดเจน ต.ค.นี้ เผยเป็นกลยุทธ์บริษัท พร้อมขยายบริการ Logistics ครบวงจร
นางสาวสุธาสินี หมื่นละม้าย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพาณิชย์และการลงทุน บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดว่ายังคงเติบโตอย่างมั่นคง โดยธุรกิจ Offshore Support Vessels (OSV) มีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดี จากการขยายกองเรือตั้งแต่ต้นปี ประกอบกับใช้กองเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สัญญาระยะยาว สอดคล้องกับกิจกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มกำลังการผลิตในอ่าวไทย
ในขณะที่ธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU) มีสัญญาณบวกเติบโตจากปีที่แล้ว ตามการฟื้นตัวของดีมานด์ในเรือ FSU สวนทางราคาเฉลี่ยต้นทุนเชื้อเพลิงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและเคมี (PCT) คาดจะมีดีมานด์ในช่วงสิ้นปี ซึ่งเป็น High Season ของภาคการท่องเที่ยวหนุนอัตราการใช้เรือเติบโต
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเข้าซื้อกิจการผู้ให้บริการตัวแทนออกของ (Shipping & Ship Agent) เบื้องต้นคาดว่าจะปิดดีลภายในวันที่ 1 ต.ค.นี้ และรับรู้รายได้ทันที โดยธุรกิจดังกล่าวจะเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อยอดการเติบโตในธุรกิจเดิม รวมทั้งสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจให้บริการ Logistics อย่างครบวงจร โดยบริษัทมีแผนขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากกลุ่มปิโตรเลียม อาทิ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการนำเข้าส่งออกเพิ่มมากขึ้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา บริษัทมีการทำสัญญาต่อเรือใหม่จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นเรือ "Crew Boat" ภายใต้งบลงทุน 350 ล้านบาท เพื่อเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ รองรับความต้องการเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล ที่ยังคงมีแนวโน้มเร่งขยายกำลังการผลิตตามความต้องการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และซัพพลายเรือในธุรกิจนี้มีจำกัด คาดว่าจะรับมอบเรือทั้ง 2 ลำ ในช่วงเดือน มี.ค. และ ก.ค. 2568 ตามลำดับ ซึ่งปัจจุบันเรือทั้ง 2 ลำดังกล่าวมีงานรองรับแล้ว และจะส่งผลให้บริษัทมีเรือ Crew Boat ให้บริการรวมทั้งสิ้น 17 ลำ ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเข้าซื้อเรือ FSU เพิ่มเติมอีก 1 ลำ โดยปัจจุบันมีเรือ FSU ทั้งหมด 5 ลำ รวมทั้งยังมีแผนเข้าซื้อเรือ Aframax จำนวน 1 ลำ ซึ่งแผนการเข้าซื้อเรือทั้ง 2 ลำดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา หากมีความชัดเจนจะรายงานให้ทราบอีกครั้งภายหลัง ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนสั่งต่อเรือ Small tanker ใหม่อีกจำนวน 6 ลำ ขนาดประมาณ 2500 เดทเวทตัน (DWT) โดยมีกำหนดการรับเรือในช่วงต้นปี 2569 ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทนับจากนี้จะเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต