กบข. ลุยเพิ่มพอร์ตลงหุ้นไทย มองราคาถูก

กบข. เดินหน้าเพิ่มพอร์ตลงหุ้นไทย หลังมองราคาหุ้นยังถูก แนะลงหุ้นรายตัว - ปันผลสูง มองกลุ่มโรงแรม - ท่องเที่ยว - โรงพยาบาลยังเติบโต
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ได้ติดตามสถานการณ์การลงทุนทั้งใน และ ต่างประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เช่น การเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีจากกระแส AI First ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นจากแรงซื้อของธนาคารต่างๆ และ แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปรับลดลง ซึ่ง กบข. ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว หุ้นตลาดเกิดใหม่ ตราสารหนี้ และ ทองคำ
โดย ณ สิ้นปี 2567 กบข. มีขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น 1.06 แสนล้านบาท รวมมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (รวมเงินสำรอง) ที่ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทนแผนสมดุลตามอายุ (สัดส่วนใหม่) 8.93% แผนทองคำ 24.67% แผนหลัก 3.73% ซึ่งกบข. สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวชนะอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลังบวก 2%
สำหรับปี 2568 กบข. ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวที่ 2.10% ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่า จะขยายตัวในช่วง 2.4-2.8% จากแนวโน้มดังกล่าว กบข. มีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์กลุ่มเติบโต (Growth Assets) โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นตลาดพัฒนาแล้ว พร้อมกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้เพื่อลดความผันผวน
ในขณะเดียวกันทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ แต่ต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง และ กบข. ยังคงติดตามปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายการคลัง และ ภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง และ ยั่งยืนให้แก่สมาชิก
ทั้งนี้ กบข. มีนโยบายจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังจากมีการทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนมาตั้งแต่ปี 67 จากปี 66 ที่อยู่ 4% ของพอร์ตลงทุนหุ้นไทย และ ในปี 68 จะเพิ่มขึ้นจากปี 67 โดยการลงทุนในตลาดหุ้นไทยกบข. สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกชนะผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยที่มีผลตอบแทนรวมติดลบ
โดยนโยบายลงทุนไทย จะเน้นหุ้นบนดัชนี SET50 free float ซึ่งจะเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว โดยการปรับกลยุทธ์ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/67 จากเดิมที่เคยลงทุนบนดัชนี SET50 สำหรับกลุ่มหุ้นที่มีโอกาสเติบโต และ มีโอกาสได้รับเงินปันผลที่สูง อีกทั้ง สามารถลงทุนได้ในราคาที่ถูก หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม ท่องที่ยว และ โรงพยาบาล
พร้อมทั้งมีนโยบายลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ หลังจากกบข. มีการปรับนิยามประเภทสินทรัพย์การลงทุนใหม่ จากเดิมแบ่งเป็นกลึ่มสินทรัพย์ประเภท Risky - Safety Assets หรือ สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง / สินทรัพย์ปลอดภัย เปลี่ยนมาเป็น Growth - Defensive Assets หรือ สินทรัพย์ที่มีการเติบโต ส่งผลให้ตราสารหนี้ ซึ่งเดิมมองว่าเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ จากมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเป็น Invesment Grade แต่ในช่วงที่ผ่านมามีการผิดนัดชำระทำให้ความเสี่ยงมีการเปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ตาม ภายในปีนี้จะเริ่มลงทุนผ่านกองทุนที่ลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยหลังเกษียณในต่างประเทศ เนื่องจากกบข.มีความสนใจในโครงการดังกล่าวเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในประเทศไทย เพราะถือว่าสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของกบข.ที่มีการลงทุนโครงการอสังหาฯ ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนอาคารสำนักงาน และ โรงแรม
"เราคาดว่า AUM ภายในสิ้นปี 69 จะแตะ 1.6 ล้านล้านบาท จากปัจจุบัน 1.4 ล้านล้านบาท ล้อไปกับการออมที่เพิ่มขึ้นของสมาชิกที่เฉลี่ยต่อปีเติบโต 4-5%"นายทรงพล กล่าว
นอกจากนี้ กบข. ยังได้ศึกษาความเพียงพอ ณ เกษียณของสมาชิก กบข. พบว่า 82% จากสมาชิก 1.2 ล้านราย มีโอกาสที่จะไม่บรรลุเป้าหมายความเพียงพอ ณ เกษียณในระดับดี ปัจจัยหลักมาจากอายุขัยเฉลี่ยที่ยืนยาวขึ้นถึง 80 ปี หนี้สินเฉลี่ยของสมาชิกวัยใกล้เกษียณ (55-60 ปี) สูงถึง 1.95 ล้านบาทต่อคน และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2% ต่อปี
โดย กบข. เตรียมเดินหน้าส่งเสริมทักษะทางการเงินร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร และจัดกิจกรรมทั่วประเทศ เพื่อสื่อสารกระตุ้นให้สมาชิกออมเพิ่ม และ เปลี่ยนแผนการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือ เลือกเปลี่ยนแผนการลงทุนมาอยู่ในแผนสมดุลตามอายุ เพื่อเพิ่มโอกาสให้สมาชิกสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินมีคุณภาพชีวิตที่มั่นคงหลังเกษียณ และ เกษียณอย่างมีสุข