4 โบรกฯ เคาะราคาเป้าหมาย SPREME สูงสุด 5 บ./หุ้น
4 โบรกเกอร์ “เอเอสแอล - เคจีไอ - คิงส์ฟอร์ด - ฟินันเซีย ไซรัส” เคาะกรอบราคาพื้นฐาน หุ้น SPREME ที่ 4.50-5.00 บาท จากราคาไอพีโอ 2.60 บาท พร้อมเข้าเทรดกระดาน SET กลุ่ม ICT วันที่ 2 พ.ค.นี้ เชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจ SI ที่แข็งแกร่ง โดดเด่นด้วยงานประมูลภาครัฐด้านการศึกษา ชี้ข้อมูลงบประมาณกระทรวงศึกษาฯ กว่า 300000 ล้านบาท ทำให้โอกาสการเติบโตในอนาคตมีอีกมาก พร้อมประสบการณ์กว่า 30 ปี ทำให้มีอัตราชนะประมูลกว่า 60-70% รวมทั้งคาดปี 67 ประเมินรายได้เติบโต 22% คาดกำไรสุทธิพุ่งกว่า 28%
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์ถึง บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SPREME ผู้ประกอบธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเป็นผู้ออกแบบ จัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในงานเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร (System Integrator) ทั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และโปรแกรมซอฟต์แวร์ (Software) รวมถึงให้บริการดูแลบำรุงรักษาและซ่อมแซมระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงหลังการขาย และการให้เช่าระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ เช่น โรงเรียน สถานศึกษา มหาวิทยาลัย ธนาคาร และรัฐวิสาหกิจ และกลุ่มลูกค้าเอกชน เพื่อให้บริการกับหน่วยงานภาครัฐดังกล่าว
โดย SPREME มีจุดเด่นทั้งในแง่ของความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ระดับธุรกิจ โดยมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ทันต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่เสมอ ให้บริการได้หลากหลายและครบวงจร ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสในการเข้าประมูลงานได้มากยิ่งขึ้น และความแข็งแกร่งในส่วนกลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ โดยการจัดหาสินค้าส่งมอบ และการให้บริการ คำนึงถึงมาตรฐานและระดับราคาที่สามารถแข่งขันได้
ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าหุ้นเหมาะสมของ SPREME ณ สิ้นปี 2567 ได้เท่ากับ 5.00 บาท อิง PE ที่ 20.7 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจคล้ายกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเป็นการคำนวณ EPS จากประมาณการกำไรสุทธิในปี 2567 เท่ากับ 180.08 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.24 บาท
ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI) ระบุว่า SPREME เป็นผู้ให้บริการ SI ครบวงจรตั้งแต่ปี 2536 เน้นให้บริการกับหน่วยงานภาครัฐมากขึ้น สัดส่วนรายได้ขายและติดตั้งอยู่ที่ 75-87% ของรายได้หลัก ขณะที่ธุรกิจบำรุงรักษาและให้เช่าคิดเป็น 5-8% และ 4-8% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ที่ 4.50 บาท/หุ้น ด้วยวิธี PE ที่ระดับ 16.5 เท่า (สูงกว่าค่าเฉลี่ย PE ของหุ้นในกลุ่มฯ ที่ 15.5 เท่า) เนื่องจากบริษัทฯ มีอัตรากำไรที่เหนือกว่ากลุ่มฯ โดยมองว่าเป็นวิธีที่เหมาะสม เนื่องจากสะท้อนธุรกิจ SPREME ที่มีลักษณะรายได้ผันผวนตามวัฏจักรการรับรู้รายได้โครงการที่ประมูลได้ในแต่ละปี โดยประเมินการเติบโตของ SPREME อยู่ที่ 22% จากปีก่อน CAGR (2566-68F) คิดเป็น PEG เพียง 0.8 เท่า ต่ำกว่า <1 เท่า ถือว่าน่าสนใจในทางทฤษฎี
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ของ SPREME ที่ 4.50 บาท โดยมองว่าผลการดำเนินงานปี 2567 ปรับตัวได้ดีกว่าปีก่อน การเติบโตของบริษัทฯ มาจากการประมูลงานจากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐที่อยู่ในช่วงของการปรับตัวให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในภาคของหน่วยงานการศึกษา การธนาคาร และการที่บริษัทฯ จะมีการปรับตัวไปในทาง Public Safety และ Smart City เพิ่มมากขึ้น รวมถึงงานจากทางภาครัฐที่คาดว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ จึงคาดการณ์ว่าปี 2567 รายได้จะอยู่ที่ 1433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 195.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.04% จากปีก่อน
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) (FSS) ประเมินว่า SPREME มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะภาคการศึกษา หากดูจากข้อมูลงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการกว่า 300000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้ความสำคัญในการส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้โอกาสของการเติบโตในอนาคตในอุตสาหกรรมยังมีอีกมาก พร้อมด้วยประสบการณ์ของบริษัทฯ กว่า 30 ปี ทำให้บริษัทฯ มีอัตราชนะประมูลกว่า 60-70% นอกจากนี้ ยังได้รับความเชื่อมั่นจากบริษัทเอกชนที่เข้าประมูลงานภาครัฐมาซื้อสินค้าของบริษัทฯ ไปใช้งานต่อ
ประเมินมูลค่าเหมาะสมหุ้น SPREME ที่ 4.50 บาท อิง PER ที่ 15 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 2567 PER ของบริษัทในต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกัน และเปรียบเทียบกับบริษัทในประเทศที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกัน มีค่าเฉลี่ย PER ในช่วงปี 2559-2566 ที่ 13.9-14.1 เท่า บนประมาณการ EPS ปี 2567 ที่ 0.30 บาท ได้มูลค่าเหมาะสมที่ 4.50 บาท ดังกล่าว
ทั้งนี้ SPREME ได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 200000000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาหุ้นละ 2.60 บาท โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) วันที่ 2 พฤษภาคม 2567