กรุงศรีฯ มองการเมืองไม่กระทบจีดีพีปีนี้ คาดอยู่ในกรอบ 1.5-2.1%

   เมื่อ : 02 ก.ค. 2568

กรุงศรีฯ ประเมินการเมืองไม่กระทบจีดีพีปีนี้ที่ 1.5-2.1% มองเศรษฐกิจไทยยังคงมีความท้าทายจากปัจจัยภายใน - ภายนอกประเทศ พร้อมให้น้ำหนักส่งออกกับการเจรจาการค้ามากกว่าการเมือง ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีหลัง มองเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยช่วงไตรมาส 4/68 เหตุสหรัฐอาจลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด


นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อํานวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองไม่กระทบจีดีพีไทยปีนี้ที่วางไว้ในกรอบ 1.5-2.1% โดยหากขยายตัว 2.1% บนสมมุติฐานสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้า 10% กับประเทศส่วนใหญ่รวมถึงไทย และ 30% กับจีน ตลอดจรจีนเก็บภาษีนำเข้า 10% กับสหรัฐฯ แต่หากสหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้ 36% กับไทย หรือ ไทยเผชิญกำแพงภาษีสูงกว่าคู่แข่งจีดีพีไทยจะลงมาอยู่ที่ 1.5%


"ความต่อเนื่องของนโยบาย และ เสถียรภาพต่อรัฐบาลจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งกรณีที่นายกรัฐมนตรีถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก เราให้น้ำหนักส่งออกมากกว่า หากไม่เติบโตจะมีผลกระทบมากกว่าการเมืองต่อภาคเศรษฐกิจจริง แต่หากนำไปสู่การยุบสภาแบบไม่ทันตั้งตัว อาจจะเกิดผลกระทบเลวร้ายที่สุด เนื่องจากรัฐบาลไม่มีอำนาจเต็มในการเจรจากับสหรัฐ รวมทั้งการสานต่อนโยบายต้องติดตามว่าจะเป็นอย่างไร"นางสาวรุ่ง กล่าว


สำหรับภาพรวมของสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ดังนี้ นโยบายกำแพงภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์กดดันค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง เนื่องจากวัฏจักรเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวจะเอื้อให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ลดดอกเบี้ยลงต่อในระยะข้างหน้า อีกทั้ง ความกังวลของตลาดเกี่ยวกับสถานะการคลังสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงผู้ค้าสำคัญของสหรัฐฯ มีเวลาที่จะเตรียมตัวตั้งรับด้วยการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศเพื่อชดเชยผลกระทบจากสงครามการค้า แม้ในกรณีที่ความตึงเครียดด้านการค้าคลี่คลายลง การฟื้นตัวของเงินดอลลาร์จะถูกจำกัดด้วยความเชื่อมั่นที่สูญเสียไป ซึ่งเป็นผลของนโยบายการค้าสุดโต่ง และ ปรับเปลี่ยนไปมา

“กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ คาดว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะกลับมาผันผวนสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แล ะผลต่อต้นทุนพลังงาน โดยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเล็กน้อยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 ในกรอบกว้างที่ 31.75-34.00 บาท/ดอลลาร์ บนสมมติฐานสำคัญที่ว่าสหรัฐฯ อาจลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ และ ปัจจัยลบของเงินดอลลาร์ในตลาดโลกยังคงดำเนินต่อไป”นางสาวรุ่ง กล่าว

ส่วนสกุลเงินของเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่พึ่งพาการส่งออกสูง รวมถึงเงินบาทอาจอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น เงินเยน และ เงินยูโร ขณะที่การค้าโลกเข้าสู่ภาวะซบเซา โดยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 0.25% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากระดับ 1.75% ในปัจจุบันเพื่อประคองเศรษฐกิจ ซึ่งเผชิญหลากหลายความเสี่ยงด้านขาลง


นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ BAY เปิดเผยว่า หากพิจารณาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันจะพบว่า มีทั้งปัจจัยภายใน และ ภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบ และ เป็นความท้าทายต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ จะยังคงขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งสนับสนุนลูกค้า และ ผู้ประกอบการไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทายดังกล่าวได้อย่างมั่นคง และ ยั่งยืนด้วยเช่นกัน

ซึ่งในปี 2568 กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ มุ่งสร้างการเติบโตของธุรกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนด 4 กลยุทธ์หลัก ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือ การสนับสนุนผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG การส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่ การขยายฐานธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล และ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยในไตรมาส 1/68 ปริมาณธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเติบโตมากกว่าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ และ อัตราการส่งออก และ นำเข้าในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยคาดว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย 4 กลยุทธ์หลักนี้

กลยุทธ์หลักในการดำเนินงานของกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ในปี 2568 ประกอบด้วย


1. การสนับสนุนผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG : นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG เพิ่มขึ้น เช่น ธุรกรรมอนุพันธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงกับ ESG (ESG-linked Interest Rate Derivatives) และ ผลิตภัณฑ์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่อ้างอิงกับ ESG (ESG-linked FX) ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณซื้อขายผลิตภัณฑ์ ESG-linked FX อยู่ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ


2. การส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่ : เพิ่มความสามารถของสกุลเงินเกิดใหม่ (Emerging Currency) โดยในปีที่ผ่านมา กรุงศรีสามารถขยายขีดความสามารถเพื่อรองรับธุรกรรมสกุลเงินเดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AED) และ ธุรกรรมปริวรรตเงินตราต่างประเทศให้ครอบคลุมเงินสกุลเปโซเม็กซิโก (MXN) เพื่ออำนวยความสะดวก และ เพิ่มทางเลือกในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแก่ลูกค้าที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับตะวันออกกลาง และ อเมริกาเหนือ โดยในปี 2567 ธนาคารมีปริมาณธุรกรรมในการใช้ธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่เพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า


3. การขยายฐานธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล : พัฒนาทั้งในแง่เทคโนโลยี และ ความสามารถในการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่องให้มีความหลากหลาย สะดวก รวดเร็ว และ สอดคล้องกับความต้องการ โดยในปี 2567 มีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 138% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและในไตรมาส 1/68 มีจำนวนธุรกรรม FX ที่ทำผ่านแพลตฟอร์ม FX@Krungsri สูงถึง 26% ของธุรกรรม FX ที่สามารถซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้


4. การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่แก่ลูกค้า : มุ่งขยายขีดความสามารถในการให้บริการและนำเสนอผลิตภัณฑ์ ไม่จำกัดเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับปริวรรตเงินตราต่างประเทศ และ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2567 กรุงศรีได้ออกผลิตภัณฑ์สัญญาซื้อขายตราสารหนี้ล่วงหน้า (Bond Forward) ที่ลูกค้า และ นักลงทุนสามารถใช้ในการลดความเสี่ยงด้านตลาด และ ด้านสภาพคล่องในการกำหนดราคาซื้อขายพันธบัตร