กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PTG เคาะเป้าราคาสูงสุด 11 บ./หุ้น
เซียนหุ้นจาก บล.กสิกรไทยแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ให้ราคาเป้าหมายที่ 11 บาท คาดกำไรไตรมาส 2/2567 ฟื้นตัวจากค่าการตลาดน้ำมันสดใสและปริมาณยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้น - ธุรกิจ Non-Oil หนุน ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ฟากบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” คาดกำไรไตรมาส 2/2567 สูงกว่า 400 ล้านบาท เติบโตเกิน 50% ล่าสุดชู PTG เป็นหุ้นเด่นกลุ่มพลังงานช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า รับปัจจัยบวกจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเคาะราคาเป้าหมายที่ 10.40 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) โดยคาดว่าปริมาณการขายน้ำมันไตรมาส 2/2567 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบ QoQ และทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยรับแรงหนุนจากวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังคาดว่าอัตรากำไรน้ำมันจะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ QoQ จากการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 2 บาท/ลิตรในช่วงเดือน เมษายน - พฤษภาคม ซึ่งจะช่วยชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากการเริ่มใช้มาตรฐานน้ำมัน EURO5
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงขยายพอร์ตการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งกำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันให้ถึง 25-30% ภายในปี 2567 ล่าสุด PTG ได้รับสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ซับเวย์ในไทยเป็นเวลา 20 ปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าการลงทุนดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ดำเนินการอยู่ และตั้งเป้าเปิดซับเวย์สาขาใหม่อีก 10-20 สาขาในปี 2567 โดยยังไม่นับรวม Upside ดังกล่าวไว้ในประมาณการกำไรของฝ่ายวิเคราะห์
สำหรับความคืบหน้าการเสนอขายหุ้น IPO ของธุรกิจ LPG (ATL) ผู้บริหารคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4/2567 หรือไตรมาส 1/2568 แม้ว่าปริมาณการขาย LPG ในภาคครัวเรือนของ PTG จะเพิ่มขึ้น 12.1% YoY ในไตรมาส 1/2567 แต่ผู้บริหารเชื่อว่าการเติบโตของปริมาณการขาย LPG ภาคครัวเรือนของ PTG จะยังสามารถเติบโตได้สูงกว่านี้ ซึ่งปัจจุบันการเติบโตยังถูกจำกัดด้วยจำนวนร้านจำหน่ายก๊าซ ทั้งนี้หากการเสนอขายหุ้น IPO สำเร็จ ผู้บริหารคาดว่าจำนวนร้านจำหน่ายก๊าซของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจะส่งผลให้ปริมาณการขายก๊าซหุงต้มในครัวเรือนของ PTG เติบโตเร็วขึ้น และคาดว่าจะได้ส่วนแบ่งการตลาดในตลาดก๊าซหุงต้มในประเทศเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากรถบรรทุกมือสอง บริษัทฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไร 15 ล้านบาท จากการถือหุ้น 33.33% ใน Paisan Capital ไตรมาส 1/2567 และคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจาก Paisan Capital จะยังคงทรงตัวที่ระดับนี้ในช่วง 3 ไตรมาสต่อจากนี้ในปี 2567 ซึ่งสูงเป็น 2 เท่าของประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์
กลยุทธ์การลงทุน จึงแนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 11 บาท เนื่องจากคาดว่ากำไรไตรมาส 2/2567 จะฟื้นตัวและราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์ โดยประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2/2567 ของหุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เติบโตเกิน 50% หรือเพิ่มขึ้นอยู่กว่า 400 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากค่าการตลาดน้ำมันดีขึ้น และปริมาณยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากการที่กระทรวงพลังงานอนุญาตให้ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไทยเป็น 31.94 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นมา 2.00 บาทต่อลิตร จากเดือนมีนาคม เนื่องจากผลขาดทุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจนทะลุ 1 แสนล้านบาทไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน และขึ้นไปจนเกือบถึงระดับสูงสุดเดิมที่ 1.3114 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 (ปัจจุบันอยู่ที่ 1.109 แสนล้านบาท) ซึ่งการที่ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขยับสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลดีขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงคาดว่าค่าการตลาดน้ำมันของ PTG ในไตรมาส 2/2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.75 บาท/ลิตร (เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา) สอดคล้องกับมุมมองของผู้บริหารที่ 1.70 -1.80 บาทต่อลิตร สำหรับช่วง 2Q/2567
นอกจากนี้ PTG ยังคาดว่าปริมาณยอดขายน้ำจะเพิ่มขึ้นเกินกว่า 12% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และน่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 2/2567 เนื่องจากมีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นในฤดูเก็บเกี่ยวของไทย อีกทั้งยังคาดว่ากำไรจากธุรกิจ Non-Oil จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณยอดขายก๊าซ LPG และกาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มขึ้น
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การตัดสินใจของคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาทในเดือนตุลาคมนี้ โดยนัดล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ทางคณะกรรมการมอบหมายให้คณะอนุกรรมการของแต่ละจังหวัดทำการศึกษา และเสนอค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสมกับจังหวัดของตัวเองขึ้นมาที่คณะกรรมการภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ถ้าหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ ผู้บริหาร PTG คาดว่าจะส่งผลกระทบกับบริษัทประมาณ 0.06-0.07 บาทต่อลิตรคิดเป็นมูลค่าประมาณ 300-350 ล้านบาทต่อปี หรือเท่ากับ 23-26% ของประมาณการกำไรปี 2568 ของฝ่ายวิจัยที่ 1.3 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้บริหารตั้งเป้าจะปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเพื่อชดเชยผลกระทบดังกล่าวบางส่วน โดยคณะกรรมการได้กำหนดประชุมนัดหน้าในวันที่ 19 มิถุนายนนี้
ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ ซื้อ PTG โดยยังคงราคาเป้าหมายปี 2567 ไว้ที่ 10.40 บาท อิงจาก P/E ที่ 15.0 เท่า และฝ่ายวิจัยยังเพิ่ม PTG เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นของบริษัทในกลุ่มพลังงาน สำหรับช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า เนื่องจากคาดว่าบริษัทฯ จะได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยลบเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาทต่อวัน น่าจะกลับมาเป็นประเด็นความกังวลอีกครั้งหลังสิ้นเดือนกรกฎาคม เมื่อคณะกรรมการของแต่ละจังหวัดจะเสนอค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสมกับจังหวัดของตัวเองต่อคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีแล้ว